เมฆฝนมาแล้วครับ
ฝนกำลังมาครับ
เดินกลับบ้านกันครับ
เณรสองรูปนี้ก็ต้องฝ่าสายฝนกลับวัดครับ
หนูน้อยกับร่มคันโปรด
ฝนตกที่บนดอย ที่เห็นเป็นสนามหน้าอาคารเรียนครับ
ฝากรอยยิ้มให้พี่ๆครับ
ถ่ายรูปหมู่เสร็จแล้ว บอกให้ถอดเก็บไว้ก็ไม่ยอมถอดกันครับ
ระฆังใบนี้สนับสนุนโดย พี่บูรณ์ Inflight Service Manager ของเราครับ
ทำใจลำบากครับ สวยไปหมด
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณน้าแมวที่มอบให้เราครับ
ชื่นชมกันใหญ่
หนูเลือกสีเขียวค่ะ
วันที่ 14 กันยายน 2552 ผมเดินทางขึ้นดอยสามสิบคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง ท้ายรถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อของผมบรรทุกสิ่งของเสียเต็มเอี้ยด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันฝน ถุงใส่ของลายการ์ตูนสีสันสดใส ขนม ของใช้ของเด็กจำพวก ปากกา ดินสอ กระดาษ สบู่ก้อน สิ่งเหล่านี้ผมได้เก็บรวบรวมเมื่อเดินทางไปพักตามโรงแรมต่างๆทั่วโลก บางอย่างไม่มีค่าสำหรับเรา แต่สำหรับคนยากไร้ พวกเขาไม่มีทางเลือกครับ นอกจากนี้ยังมีของใช้ส่วนตัวของผม และสิ่งสำคัญคือ ผมได้บรรทุกความหวัง ความสุข ลงไปหลังรถเสียเต็มที่ ผมเคยสัญญาเด็กๆว่าจะขึ้นไปเยี่ยมพวกเขา จะไปฉายหนังให้พวกเขาดู
ก่อนเดินทางออกจากตัวอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ ผมแวะซื้อขนมสำหรับนำไปแจกเด็กๆ รวมทั้งข้าวห่อและหนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่นเพื่อนำไปฝากให้กับทหารที่ประจำอยู่ที่ด่านตามแนวชายแดน แรงใจและความใฝ่ฝันผลักให้รถที่ผมขับทะยานขึ้นสู่จุดหมายที่ยอดดอย
เด็กๆและคุณครูต่างมารอผมอยู่ตรงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ครูบอกว่าเด็กๆตื่นเต้นกันมาก มารอเพื่อที่จะช่วยผมขนของไปที่โรงเรียน ครูบอกว่าถนนลื่นและเละเป็นโคลน ไม่อยากให้ผมเสี่ยงเอารถไปติดหล่ม เด็กๆช่วยกันขนของเดินลงและขึ้นเนินอยู่หลายรอบ ผมกะด้วยสายตา ระยะทางน่าจะอยู่ที่ราว 3 กิโลเมตร ของบางอย่างหนักเอาการ เช่นจอสำหรับฉายภาพยนต์ขนาด 6 คูณ 4.5 เมตร น้ำมันเบนซินสำหรับเติมเครื่องปั่นไฟฟ้า 4 แกลลอน หม้อปรับแรงดันไฟฟ้า ของอีกมากมายจิปาถะ หนูน้อยคนหนึ่งถามผมว่า น้าจะย้ายขึ้นมาอยู่กับพวกเราหรือครับ อีกคนถามว่า น้าย้ายบ้านหรือ
เมื่อเราเดินเท้าไปถึงโรงเรียน เด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยที่ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้เข้าแถวรอผมอยู่แล้ว คุณครูบอกให้เด็กทุกคน สวัสดีผม จากนั้นผมจึงเริ่มกิจกรรมแรกคือการ แจกถุงสำหรับใส่ของลายการ์ตูน สีสันสดใส ซึ่งได้รับความเมตตาจากคุณแมว (พีระรัศม์ สุพรรณธะริดา) แห่งบริษัทลักกี้สตาร์การทอจำกัด ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่หนู ( SIRIBHODHI K ) Inflight Service Manager คนงามของพวกเรานั่นเอง
จากนั้นผมได้แจ้งครูว่า ให้สอนไปตามปกติ ผมได้เดินบันทึกภาพบรรยากาศทั่วๆไปในระหว่างที่คุณครูสอนเด็กๆ บ่ายวันนั้นฝนเทลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น หลังคาห้องเรียนที่มุงด้วยสังกะสีปะทะกับสายฝน ทำให้นักเรียนแทบไม่ได้ยินเสียงของคุณครูที่กำลังอธิบายบทเรียนอยู่
บ่ายโมงกับสิบนาที ปกติแล้วเด็กๆต้องเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อร้องเพลงชาติ เชิญธงลงจากเสาแล้วพับเก็บไว้ ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันที่มีการเรียนการสอน แต่วันนี้มีเพียงตัวแทนสามคนใส่เสื้อกันฝน ฝ่าสายฝนออกไปปฏิบัติหน้าที่ การเชิญธงลงจากเสาท่ามกลางสายฝนจึงเป็นเรื่องปกติในหน้าฝนเช่นนี้ แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง ซึ่งสื่อถึงความอดทน ซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อหน้าที่
หลังเลิกเรียน บรรดาครูให้เด็กโต 3-4 คนช่วยผมขนสัมภาระเข้าที่พัก ซึ่งผมได้ถูกจัดให้เข้าพักกับบรรดาครูที่บ้านพักครู ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปราว 150 เมตร คืนนั้นผมได้ทดสอบฉายภาพยนต์โดยใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟฟ้าและอาศัยผนังบ้านพักครูเป็นจอภาพยนต์ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ ผมต้องทดสอบให้แน่ใจว่า แรงดันไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟฟ้ามีความสม่ำเสมอ เพื่อที่จะฉายจริงให้เด็กๆและคนในหมู่บ้านชมในคืนถัดไป
ผมหลับตาลงด้วยความเพลีย แต่ความฝันนำผมล่องลอยไปแล้ว ลอยไปยังภูเขาสูง ที่นั่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆก้องกังวาลไปทั่วหุบเขา ที่ซึ่งไร้เสียงปืนและการเข่นฆ่า
ผมสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงทหารวิ่งออกกำลังกายแต่เช้ามืด สำหรับบนภูเขาที่หนาวเย็นและกันดารเช่นนี้ กาแฟผสมกึ่งสำเร็จรูปเป็นซองก็เป็นสิ่งที่วิเศษสุดแล้วสำหรับเช้าวันใหม่ หลังอาการเช้า ผมเดินมุ่งสู่โรงเรียนอีกครั้ง ขนมกรุบกรอบเป็นของที่เด็กๆไม่ได้ลิ้มลองบ่อยมากนัก พวกเขาไม่ได้เงินค่าขนมมาโรงเรียนดังนั้น ขนมซองละ 5 บาทเป็นสิ่งที่แพงเกินเอื้อม
ผมมองฝ่าม่านเมฆฝนที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เห็นตัวอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่อยู่ลิบๆ แต่ข้างล่างด้านโน้นกับข้างบนนี้ต่างกันอย่างลิบลับ
ตอนสายของวันนี้ ผมมอบเสื้อกันฝนให้กับเด็กๆและคุณครู เมื่อครูบอกให้เด็กๆแกะเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่เพื่อถ่ายรูปร่วมกัน หลังถ่ายรูปเสร็จ เด็กหลายคนไม่ยอมถอดเสื้อกันฝนออก ทั้งๆที่มีแดดจ้า บางรายเดินกลับเข้าเรียนในชุดกันฝน โลกของเด็กบางครั้งก็ซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างเราจะเข้าใจ